วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ผีสงครามโลก



พ.น้อยวัฒน์...เรื่อง ภ.น้อยวัฒน์...ภาพ

สงครามมหาเอเชียบูรพาระเบิดขึ้นเมื่อผมอายุได้ ๕ ขวบ แต่พอจะจำความได้แล้ว ความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้กลัวเลย กลับสนุกด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะตอนไปนอนอยู่ในหลุมหลบภัย ได้เห็นไฟฉายเครื่องบินสาดแสงขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นลำ หันไปหันมาเพื่อค้นหาเครื่องบิน แต่ผมไม่เคยเห็นเครื่องบินสักลำ ได้ยินแต่เสียง
บ้านของผมอยู่ในสวน แต่เดิมผู้ใหญ่ได้สร้างหลุมหลบภัยไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะบ้านมีใต้ถุนสูง แต่ต่อมากลัวว่าจะไม่ปลอดภัย จึงย้ายไปสร้างใหม่ในสวน ห่างจากบ้านไปพอสมควร ตรงนั้นมีต้นมะม่วงขนาดใหญ่อยู่สามสี่ต้น ทำให้มีร่มเงาค่อนข้างทึบ
หลุมหลบภัยที่สร้างขึ้นนั้นเป็นหลุมดินกว้างและยาวพอที่จะจุคนได้สิบกว่าคน ขอบหลุมทำเป็นเนินดินสูงรอบด้าน ยกเว้นด้านท้ายหลุมทำเป็นทางเข้า มีหลังคาโครงสร้างเป็นไม้ไผ่ แล้วจึงมุงด้วยทางมะพร้าว ทำให้ดูแน่นหนาและมิดชิดดี
ก่อนเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดจะมีเสียงไซเรนหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หวอ” ดังขึ้น เป็นสัญญาณเตือนภัยของทางราชการ ในซอยบ้านผมจะชุลมุนไปด้วยผู้คน หอบลูกจูงหลานมาจากตลาดบุคคโลเพื่อมาหลบภัยในสวน ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่ค้าขายอยู่ในตลาด ทั้งในสวน ในซอย เนืองแน่นไปหมด
จนกระทั่งเมื่อเสียงหวอดังขึ้นอีกครั้ง นั่นจึงแสดงว่าปลอดภัยแล้ว เหล่าผู้อพยพชั่วคราวเหล่านี้จะพากันกลับไป แต่บางครั้งกลับไปยังไม่ทันถึงสองชั่วโมงก็ต้องกลับมาอีกแล้ว
ชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างสงครามเต็มไปด้วยความลำบาก เพราะไม่มีใครได้ทำงานประกอบอาชีพ แต่ละครอบครัวจึงต่างประสบกับความอดอยากยากแค้น โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน
ด้วยความที่บ้านผมเป็นบ้านสวน จึงพอมีอะไรให้เก็บกินอยู่บ้าง เพราะปลูกผักบุ้ง ผักกระเฉดไว้ในท้องร่อง ยังมีมะเขือยาว มะเขือเปาะ ขิง ข่า ตะไคร้ ริมท้องร่องสวน ไหนจะมันเทศ สัปปะรด ช่วยบรรเทาความอัตคัตไปได้มาก
ข้าวสารเป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างหนัก ในหนึ่งสัปดาห์รัฐบาลจะนำข้าวสารมาแจกครั้งหนึ่ง โดยให้ครอบครัวละ ๕ กิโลกรัม ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับหนึ่งอาทิตย์ ชาวบ้านจำเป็นต้องช่วยเหลือตัวเองไปตามมีตามเกิด อย่างที่บ้านของผมจะใช้วิธีขุดเอามันเทศในสวนมาหุงผสมกับข้าว ทำให้ได้ปริมาณเพิ่มขึ้น พอกินได้ในเจ็ดวัน ส่วนกับข้าวก็ไปเก็บเอาผักบุ้งในท้องร่องสวนมาต้มกินกับน้ำพริก หรือยำผักบุ้ง ส่วนเนื้อสัตว์อย่างเช่นเนื้อหมู เนื้อวัว ทางราชการเอามาแบ่งปันให้ครอบครัวละครึ่งกิโล ถือว่าน้อยมาก
เนื่องจากสงครามไม่ได้รบกันเพียงแค่วันสองวัน ยิ่งนานความขาดแคลนยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่กันทุกวันเริ่มเก่าและขาด ต้องหาด้ายมาเย็บมาปะกัน ด้ายที่จะใช้เย็บผ้ายิ่งแสนจะหายาก คุณแม่ผมต้องใช้วิธีไปตัดใบสัปปะรดมาแช่น้ำ ทิ้งไว้ให้มันเน่า แล้วรีดเนื้อมันออก นำเอาใยที่เหลือมาล้างให้สะอาดแล้วนำไปตากแห้ง ใช้เป็นด้ายเย็บเสื้อผ้า
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในยามรอบข้างเต็มไปด้วยภยันตรายเช่นนี้ คือเครื่องรางของขลังที่จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจ ผมสังเกตเห็นได้ว่าผู้คนที่อพยพไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านกับหลุมหลบภัย แต่ละคนต่างมีพระห้อยติดตัวกันแทบทุกคน แม้กระทั่งเด็ก ๆ
อย่างที่บ้านผม คุณพ่อก็หาพระมาให้คล้องคอกันทุกคนเหมือนกัน พระของผมคุณพ่อให้หลวงพ่อโต (ซำปอกง) วัดกัลยาณมิตร มาห้อยคอ คุณแม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อผมยังเล็ก ๆ มักจะป่วยบ่อย กระเสาะกระแสะ คุณยายเลยบอกให้คุณแม่เอาผมไปถวายเป็นลูกของหลวงพ่อโต ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ค่อยเจ็บค่อยป่วยอีก ส่วนพี่สาวผมคุณพ่อให้ห้อยเหรียญหลวงพ่อโสธร น้องชายห้อยเหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก แต่คุณแม่กับคุณยายผมไม่ได้ถามว่าท่านห้อยพระอะไร แต่น่าจะต้องมีเหมือนกันนั่นแหละ
มีอยู่คืนหนึ่ง พอเสียงหวอดังขึ้น พวกเราก็พากันลงจากเรือน รีบตรงไปที่หลุมหลบภัยในสวน คุณพ่ออุ้มน้องชายไป ส่วนผมเดินตามหลัง น้าสินซึ่งเป็นน้าชายผม มาจากไหนไม่รู้ มาถึงอุ้มผมได้ก็พาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แทนที่แกจะคอยข้ามสะพานอย่างคนอื่น แกกลับพาผมกระโดดข้ามท้องร่องไป แค่สามสี่ทีก็ไปถึงหลุมหลบภัยก่อนใคร ๆ
พอเข้าหลุมหลบภัยกันหมดแล้ว สักครู่ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดบินมา พวกผู้ใหญ่ต่างก็พากันพนมมือสวดมนต์กันพึมพำระงมไปหมด ผมนอนดูแสงไฟฉายที่สาดเป็นลำเพื่อค้นหาเครื่องบินบนท้องฟ้า หลังคาหลุมหลบภัยถึงจะมุงด้วยทางมะพร้าวจนค่อนข้างทึบ แต่ก็ยังโปร่งพอที่จะเห็นลำแสงเป็นทางยาวสาดส่ายไปมาได้อย่างชัดเจน ทว่าไม่เห็นเครื่องบินแม้แต่น้อย ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มน่ากลัว เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันเขาว่าเป็นเสียงเครื่องบิน B52  ใหญ่โตเหมือนป้อมปราการบินได้ ขนลูกระเบิดมาทิ้งได้ทีละมาก ๆ
บึม ...บึม” เสียงระเบิดดังมาแต่ไกล พื้นดินสะเทือนจนรู้สึกได้ ไม่มีใครรู้ว่าระเบิดถูกทิ้งลงที่ไหน รู้แต่เพียงว่าคงจะทิ้งลงมาหลายลูก
สักพักใหญ่ ๆ เสียงหวอแจ้งว่าปลอดภัยแล้วดังขึ้น แต่พวกเราในหลุมหลบภัยไม่มีใครคิดอยากจะกลับบ้าน เพราะดึกมากแล้ว เด็ก ๆ หลับกันหมด จึงตกลงนอนกันในหลุมหลบภัยนั่นแหละ คงมีเพียงคุณพ่อคนเดียวเท่านั้นบอกว่าจะกลับไปที่บ้าน แล้วลุกเดินออกจากหลุมหลบภัยไป
เช้าวันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมาผมก็เห็นคุณยายนั่งตำหมากอยู่ก่อนแล้ว คนอื่น ๆ ยังหลับกันอยู่ ผมขอครกจากคุณยายมาช่วยตำหมากให้ ตำเสร็จส่งให้คุณยายควักหมากใส่ปาก ตามด้วยยาฝอย
น้าสินพูดขึ้นว่า “ไม่รู้เมื่อคืนระเบิดลงที่ไหน ดูเหมือนมันจะใกล้ ๆ นี่เอง เพราะเสียงมันดังและสั่นสะเทือนมาก เดี๋ยวสาย ๆ จะต้องไปตลาดฟังข่าวเสียหน่อย”
มันท่าจะเป็นแถว ๆ กองทัพเรือ หรือแถว ๆ สะพานพุทธ ฯ นี่แหละ เพราะเสียงมันใกล้เหลือเกิน” คุณแม่พูดเป็นเชิงออกความเห็น
 มันจะทิ้งที่ไหนก็ช่างเถอะ อย่ามาทิ้งแถวบ้านเราก็แล้วกัน” คุณยายบอก แล้วตัดบทว่า “เอ้า ช่วยกันเก็บข้าวของผ้าผ่อนหน่อย จะได้กลับบ้านกันเสียที”
“เมื่อคืนวานซืนก่อน ที่เครื่องบินมันมาทิ้งระเบิดแถวสะพานพุทธ ได้ยินเขาโจษจันกันในตลาด ว่ามีหลายคนแลเห็นองค์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ปกติเราเห็นประทับนั่งอยู่เชิงสะพานพุทธนั่นน่ะ ท่านลุกขึ้นยืนขึ้นเป็นเงาดำทะมึนสูงใหญ่ กางขาคร่อมสะพานพุทธ แล้วใช้มือของท่านรับลูกระเบิดที่กำลังจะตกลงมาโดนสะพานเอาไว้ แล้วโยนทิ้งลงในแม่น้ำหลายต่อหลายลูก บางลูกท่านก็ปัดกระเด็นไปตกไกล ๆ สะพานพุทธเลยปลอดภัย รอดจากลูกระเบิดมาได้ หลังเหตุการณ์มีคนเข้าไปดูองค์ท่านใกล้ ๆ บอกว่าตรงมือของท่านยังเห็นรอยร้าวและรอยไฟไหม้อยู่ด้วย” น้าสินเล่าพลางก้มลงช่วยเก็บข้าวของไปพลาง
“พระองค์ท่านคงจะมาช่วยป้องกัน เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองกำลังเกิดศึกสงคราม” คุณยายพูดแล้วพนมมือยกขึ้นไหว้ท่วมหัว
ทุกคนกุลีกุจอช่วยกันเก็บครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย ออกจากหลุมหลบภัยกลับเรือน เห็นคนในซอยกำลังเดินกลับบ้านกันอยู่คึกคัก
พอถึงบ้านคุณแม่ก็รีบเข้าครัวหุงหาอาหารเช้าให้พวกเรากินกัน เสียงน้องชายตะโกนลงมาจากบนบ้าน “แม่ครับ พ่อไม่เห็นอยู่บนบ้านเลย ไม่รู้ไปไหน”
คงออกไปกินกาแฟที่ตลาด เดี๋ยวก็กลับ” คุณแม่ร้องตอบ
คุณยายเดินไปอาบน้ำจากโอ่งตรงสะพานท่าน้ำเสร็จก็เดินกลับมา
ยาย มากินข้าวได้แล้ว” เสียงพี่สาวเรียกคุณยายดังมาจากในครัว
เดี๋ยวก่อน ยายไปใส่เสื้อก่อน”
เมื่อทุกคนเรียบร้อยก็พากันมานั่งล้อมวงบนพื้นครัวซึ่งขณะนี้คุณแม่วางกับข้าวไว้แล้ว วันนี้เรามีอาหารเช้าที่อร่อย ถึงแม้จำเจ น้ำพริกถ้วยใหญ่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด มะเขือเปาะเป็นเครื่องเคียง แกงจืดผักตำลึงกับกากหมูที่เก็บไว้ พิเศษหน่อยก็คือปลากระดี่ทอด คุณแม่ทอดเสียจนเหลืองกรอบน่ากิน
กำลังจะลงมือ คุณพ่อก็เดินกลับเข้าบ้านมาพอดี เลยได้ร่วมวงกันพร้อมหน้าสำหรับมือเช้านี้
ระหว่างกินข้าวกัน คุณพ่อเล่าว่าเมื่อเช้ามืด เจ๊กยกแกมาบอกว่าเมื่อคืนตอนเครื่องบินมาทิ้งระเบิด สะเก็ดระเบิดมาจากไหนไม่รู้ ปลิวมาตัดคอตาล้วนที่ชอบออกมานั่งดูเครื่องบินทิ้งระเบิดบนหัวบันไดบ้าน หัวขาดกระเด็นเลย เห็นว่าคนไปดูกันเยอะแยะ น่ากลัวมาก ตัวนั่งคอขาดอยู่ ส่วนหัวตกลงไปอยู่ข้างล่าง
เจ๊กยกแกเป็นคนจีน บ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม คนละฟากคลองกับบ้านผม เนื่องจากเป็นแค่คลองเล็ก ๆ อยู่กันคนละฝั่งก็พูดกันได้ยิน เวลามีอะไรแกก็จะมาเรียกเสมอ
"เดี๋ยวกินข้าวแล้วจะไปดูสักหน่อย" คุณพ่อพูดขึ้น
"ผมไปด้วย" ผมรีบบอก
"จะไปทำไมกัน มันน่ากลัวจะตายไป" คุณแม่ค้านขึ้น
"ผมจะไป ผมอยากดู แล้วผมก็ไม่กลัวด้วย" ผมยืนยันกับคุณแม่
"แล้วสองคนนั่นละ ไม่ไปหรือ" คุณพ่อถามเหมือนจะชวน
"หนูไม่ไป หนูกลัว ไม่เห็นจะน่าดูเลย" พี่สาวรีบปฏิเสธ
"ผมก็ไม่ไป ผมไม่ชอบดูคนตาย" น้องชายรีบบอกแทบเป็นเสียงเดียวกับพี่สาว
"ใครไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าดูนักหรอก" คุณพ่อว่า
หลังจากกินข้าวเสร็จคุณพ่อก็หันมาพูดกับผม "เบิ้มจะไปก็เตรียมตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวพ่อจะไปแล้ว"
ผมวิ่งตื๋อขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อ กางเกง  เรียบร้อยแล้วรีบกลับลงมา "เสร็จแล้วครับ"
"งั้นก็ไปกันเถอะ"
คุณพ่อกับผมพากันเดินออกจากบ้านไปตามซอยที่ไปตลาด สักพักก็ถึงทางแยกปากซอยซึ่งเป็นที่โล่งกว้าง เตรียมทำถนน (ปัจจุบันคือถนนเจริญนคร) ถ้าเดินข้ามไปก็จะเป็นตลาด เรียกกันว่าตลาดบุคคโล เป็นตลาดที่ดีที่สุดในเวลานั้น
ตัวตลาดสร้างด้วยอิฐถือปูน สองข้างทำเป็นห้องแถวให้คนเช่าอยู่อาศัยและขายของ ตรงกลางมีถนนคอนกรีตเชื่อมห้องแถวสองฟากค่อนข้างกว้าง ใช้เป็นทางเดินของผู้คนที่มาตลาด
ผู้เช่าห้องแถวส่วนมากมักเปิดเป็นร้านค้า มีทั้งร้านขายของชำ ร้านกาแฟ ร้านขายข้าวต้ม ร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องครัว ร้านตัดเสื้อ และยังมีแม่ค้าหาบของมาวางขายตามหน้าร้านเหล่านี้อีกด้วย แต่ช่วงสงครามอย่างนี้ตลาดดูซบเซาไป ไม่มีข้าวของอะไรมาวางขาย เพราะพ่อค้าแม่ขายต่างต้องหนีภัยจากการทิ้งระเบิด
จากปากซอยคุณพ่อพาผมเดินเลี้ยวขวาไปตามแนวถนน สองข้างทางรกเรื้อเต็มไปด้วยต้นหญ้านานาชนิด นาน ๆ จะมีบ้านสักหลังหนึ่ง ระหว่างเดินเห็นมีผู้คนสัญจรไปมาค่อนข้างหนาตา ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไปดูเหตุการณ์ที่ว่า ทั้งที่ไปดูแล้วกลับมา และที่กำลังจะไปดูเหมือนกัน เพราะตามปกติจะไม่มีผู้คนมากมายขนาดนี้
เดินต่อไปสักพักเดียวก็ถึงทางแยกเข้าบ้านที่เกิดเหตุ คนเดินเข้าเดินออกเยอะ เห็นได้ชัด เลี้ยวเข้าไปประมาณสักสามร้อยเมตรก็ถึงตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูง ด้านหน้าทำเป็นมุขมีม้านั่งแบบพนักพิงอยู่สองข้าง แล้วจึงเป็นบันไดทอดลงมาจากตัวบ้าน ตรงเชิงบันไดผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่พร้อมลูกบ้านสองสามคน คอยกันไม่ให้คนขึ้นไปบนบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านที่ใคร ๆ เรียกกันว่า "ผู้ใหญ่ชด" รู้จักคุ้นเคยกับคุณพ่อเป็นอย่างดี จึงทักทายกันอย่างสนิทสนม ก่อนที่ผู้ใหญ่จะพาคุณพ่อขึ้นบันไดไปดูใกล้ ๆ ส่วนผมรออยู่ข้างล่าง แต่จากเชิงบันไดมองขึ้นไปก็เห็นศพคอขาดนั่งอยู่มีเลือดเกรอะกรัง
คุณพ่อดูอยู่สักครู่ก็ลงมา แล้วเดินตามผู้ใหญ่ไปนั่งที่โต๊ะใต้ถุนบ้าน ผมเลยเดินเข้าไปด้วย พอนั่งลงเรียบร้อยคุณพ่อก็แนะนำ "นี่ลูกชายผม ตามมาด้วย"
"เอ้า ไอ้หนู ไม่กลัวเรอะ" ผู้ใหญ่ถามแล้วยิ้ม ๆ
ผมรีบตอบไปทันทีว่า "ไม่กลัวครับ" รู้สึกตัวพองนิด ๆ
ผู้ใหญ่หันไปพูดกับคุณพ่อ "ไอ้ล้วนมันเป็นลูกบ้านเรานี่แหละ พอเริ่มสงครามมันส่งลูกเมียไปอยู่ต่างจังหวัด ส่วนมันเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว ชอบออกมานั่งกินเหล้าอยู่หน้าบ้านตอนเสียงหวอดังขึ้น มันเคยบอกว่าชอบดูแสงไฟฉายและเครื่องบิน ฉันเตือนมันหลายหนแล้ว ว่าให้หลบไปอยู่ในหลุมหลบภัย มันก็ไม่ฟัง กลับบอกว่าฉันไม่กลัวหรอกผู้ใหญ่ ไม่ต้องห่วง
เมื่อคืนตอนเสียงหวอดังขึ้น ทุกบ้านทุกช่องต่างก็ดับไฟ แล้วก็ไปลงหลุมหลบภัยกันหมด ฉันเดินตรวจยังเห็นตาล้วนนั่งกินเหล้าอยู่ เลยเดินไปดูแถวตลาด เห็นดับไฟมืดกันไปหมดแล้ว หอบลูกจูงหลานเข้าไปอยู่ในสวนกัน ฉันเลยหลบเข้าไปตรงหลุมหลบภัยสาธารณะ
เสียงระเบิดลงอยู่หลายครั้ง คิดว่ามันคงทิ้งแถว ๆ บางกอกน้อย สะพานพุทธ หรือเรือรบที่จอดอยู่กลางแม่น้ำ เพราะเสียงมันใกล้มาก" ผู้ใหญ่คะเนตามความคิดของแก
"คราวนี้มันทิ้งเข้ามาใกล้แถวบ้านเรามากจริง ๆ " คุณพ่อเสริมขึ้น
ผู้ใหญ่หยุดไปสักครู่ก่อนจะเล่าต่อ "พอเสียงหวอปลอดภัยดังขึ้น ฉันก็เดินกลับ ผ่านบ้านตาล้วน  ฉันมองเห็นยังนั่งอยู่ เลยเดินเข้าไป คิดว่าจะคุยกับมันสักหน่อย พอก้าวขึ้นบันไดถึงได้เห็นว่าไม่มีหัว ฉันตกใจแทบสิ้นสติ มือไม้สั่น ขาสั่นไปหมด พอได้สติถึงรีบไปเรียกไอ้สมกับไอ้บุญมา" ผู้ใหญ่ชดหมายถึงผู้ช่วยและลูกบ้านอีกคน
"ไอ้สองคนพอขึ้นไปเห็นศพไอ้ล้วนนั่งหัวขาดอยู่ พากันหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ไอ้บุญมาถึงกับเป็นลม ตกบันไดลงมาสามขั้นหัวโนไปเลย พอสว่างฉันเลยให้ไอ้สมมันไปแจ้งอำเภอ อีกประเดี๋ยวคงจะมา ตอนฉันกลับขึ้นไปตรวจดูศพอีกครั้ง ถึงเห็นหัวมันกลิ้งอยู่ที่พื้นข้างล่าง ตาเหลือกโพลง เลือดกระเซ็นกระจายเปรอะทั่วไปหมด"
"แล้วผู้ใหญ่ได้บอกทางครอบครัวมันหรือยัง" คุณพ่อถามขึ้นบ้าง หลังจากนั่งฟังผู้ใหญ่เล่าเสียนาน
"รออำเภอก่อน แล้วค่อยไปจัดการ" ผู้ใหญ่ตอบ
สักพักใหญ่เจ้าหน้าที่อำเภอก็มา ผมเห็นเขาถ่ายภาพศพตาล้วนและสภาพพื้นที่โดยรอบบริเวณนั้น แล้วให้เอาผ้าขาวมาปู ช่วยกันยกร่างตาล้วนมาวางลง เอาหัวมาต่อที่คอ แล้วผูกผ้าห่อจนเรียบร้อย หันมาบอกผู้ใหญ่ชด "เสร็จแล้วผู้ใหญ่ เอาไปจัดการได้"
 นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเสียงหวอดังขึ้น ทุกคนต่างก็หนีลงหลุมหลบภัยกันจนหมด ไม่มีใครคิดจะนั่งดูเครื่องบินอีกเลย โดยมักจะยกเอาเรื่องของตาล้วนมาเป็นอุทาหรณ์เตือนสติ
ผู้คนในแถบนั้นยังคงต้องอพยพหนีลูกระเบิดกันอยู่ต่อไป และคิดว่าเรื่องของตาล้วนคงจบไปแล้ว
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ไปแล้วเจ็ดวัน กลับเกิดมีข่าวลือกันขึ้น ว่าตอนดึก ๆ ถ้าใครเดินผ่านไปทางบ้านตาล้วน จะเห็นแกนั่งอยู่หน้าบ้านในสภาพปราศจากหัว  คนที่พบเห็นต่างหวาดกลัว บางคนจับไข้หัวโกร๋นกันไปก็มี
 บ้านของตาล้วนกลายเป็นบ้านร้าง ไม่มีใครอยากจะย่างกรายผ่านเข้าไปใกล้ เพราะกลัวจะไปเจอแกนั่งอยู่หัวบันไดในสภาพไร้หัวเป็นที่สยดสยอง จนต้องรื้อบ้านทิ้งไปในที่สุด


ผี ...เรืองเล่าผีไทยจากในอดีต ชุดที่ ๑
เรื่องผีจากประสบการณ์จริง
ที่จะทำให้คุณนึกถึงเรื่องผีของครูเหม เวชกร
ด้วยบรรยากาศในยุคสมัยเดียวกัน
เขียนโดย พ. น้อยวัฒน์
นักเขียนรุ่นเก๋าจาก อนุสาร อ.ส.ท.
ภาพปกโดยอาจารย์ ทวี วิษณุกร
ปรมาจารย์นิยายภาพผีไทย
พิมพ์จำนวนจำกัดตามจำนวนการสั่งจอง
ไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด
สั่งจองได้แล้ววันนี้
ในราคาเพียงชุดละ ๓๓๓ บาท พร้อมส่งถึงบ้าน
โดยโอนเงินมาที่
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย สาขาดินแดง
เลขที่ 020-1-97391-0 ในนาม เบญริสา เย็นฉ่ำ
ผจก. สำนักพิมพ์วิษณุกร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น